เคยสังเกตุกันมั้ยครับว่า ในทุกครั้งของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ Thailand Super Series ที่เปิดฤดูกาลใหม่ แต่ละทีมโดยเฉพาะรุ่นใหญ่ๆ อย่าง Thailand Super Car GTM+, Thailand Super Car GTM และ Thailand Super Car GTC ต่างก็สร้างสรรค์รถแข่งพลังสูงตามกฏการแข่งขัน ออกมาฟาดฟันกันอย่างดุเดือด และนั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นกับรถแข่งตัวแรงของแต่ละทีม หากแต่ยังรวมถึงรูปลักษณ์หน้าตาที่แต่ละทีมรถแข่งต่างก็ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิ่งอื่น จึงทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับกับพละกำลังที่มากขึ้น และสร้าง “หลักอากาศพลศาสตร์” หรือ “Aerodynamics” ที่ดีขึ้น เพื่อการนำพาไปสู่ “ชัยชนะ” นั่นเอง
สำหรับ “หลักอากาศพลศาสตร์” หรือ “Aerodynamics” คือ แรงที่เกิดขึ้นกับรถแข่ง ขณะกำลังเคลื่อนที่ผ่านอากาศที่ไหลผ่านตัวรถ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โซนของอากาศที่มีความเร็วต่ำ (Low Speed Flow Zone) หรือ อากาศที่เข้าปะทะกับรถโดยตรงขณะเคลื่อนที่ ต่อมาก็คือ โซนของอากาศที่มีความเร็วสูง (High Speed Flow Zone) หรือ บริเวณของกระแสลมที่ไหลผ่านตัวรถด้วยความเร็ว โดยไม่มีการปะทะ เช่น ใต้ท้องรถ โดยการไหลผ่านของอากาศทั้ง 2 ประเภท คือ สิ่งที่สามารถสร้างได้ทั้งแรงต้าน (Drag Force) และแรงกด (Down Force) ซึ่งแรงต้าน (Drag Force) ก็คือ แรงที่ต้านการเคลื่อนที่ของรถแข่ง ส่วนต่อมา คือ แรงกด (Down Force) หรือ แรงที่สามารถกดรถลงกับพื้นได้มาก
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ในทุกๆ ฤดูกาลแข่งขัน รถแข่งพลังสูงในรายการหลายคัน จะมากับชุดแต่งใหม่ๆ ให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตได้ร้องว้าวกันทุกๆ ฤดูกาลด้วยความสวยงาม ที่มาพร้อมความสามารถด้าน Aerodynamics ในระดับสูง เพราะเหล่ารถแข่งพลังสูงเหล่านี้ ต่างก็ต้องการ Aerodynamics ที่ดี กล่าวคือ มีแรงต้าน (Drag Force) น้อย แต่สร้างแรงกด (Down Force) ได้มาก เพราะในการแข่งขันประเภท Circuit เพื่อเมื่อรถมีความเร็วสูง การมีแรงกด (Down Force) ที่สูงก็จะช่วยให้รถมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพื่อกดให้รถอยู่กับพื้น และสร้างแรงยึดเกาะถนนที่มากขึ้นให้กับยางทั้ง 4 เส้นนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโค้ง เพราะรถแข่งที่ใช้ความเร็วสูงในโค้งได้ดี ย่อมทำเวลาต่อรอบได้ดีกว่า และสร้างโอกาสในการเข้าใกล้ชัยชนะได้มากกว่านั่นเอง
